เจาะลึกทุกเทคนิคทำตาสองชั้น: กรีดสั้น กรีดยาว หรือไร้แผล แบบไหนใช่สำหรับคุณ?

การมีดวงตาที่สวยงาม สดใส และได้สัดส่วน ถือเป็นความปรารถนาของใครหลายคน และ “ตาสองชั้น” ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมมิติและความโดดเด่นให้กับใบหน้าได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกล ทำให้การทำตาสองชั้นมีหลากหลายเทคนิคให้เลือก แต่เคยสงสัยไหมครับว่าเทคนิคยอดนิยมอย่าง “กรีดสั้น”“กรีดยาว” หรือแม้กระทั่งเทคนิค “ไร้แผล” นั้นแตกต่างกันอย่างไร และที่สำคัญที่สุด… เทคนิคทำตาสองชั้น ไหนที่ใช่และเหมาะสมกับดวงตาของเราจริงๆ?

ในฐานะ นพ.วรฤทธิ์ จินารัตน์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างรอบดวงตา (Oculoplastic Surgeon) ผมอยากจะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของแต่ละเทคนิค ไม่ใช่แค่ในมุมมองของความงาม แต่รวมถึงความเข้าใจในโครงสร้างกายวิภาคและสรีรวิทยาของเปลือกตา เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนที่สุดก่อนการตัดสินใจครั้งสำคัญครับ


ทำความเข้าใจพื้นฐาน: การสร้างชั้นตาคืออะไร?

ก่อนจะไปลงลึกเรื่องเทคนิค เราต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานก่อนว่า “ชั้นตา” เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยธรรมชาติแล้ว คนที่มีตาสองชั้นจะมีเส้นใยกล้ามเนื้อที่ใช้ลืมตา (Levator Aponeurosis) บางส่วนยึดเกาะอยู่กับผิวหนังบริเวณเปลือกตา เมื่อเราลืมตา กล้ามเนื้อจะดึงผิวหนังส่วนนั้นให้พับเข้าไปด้านใน เกิดเป็นชั้นตาสวยงามขึ้นมา

ดังนั้น หัวใจของการผ่าตัดทำตาสองชั้นทุกเทคนิค คือการสร้างการยึดเกาะเลียนแบบธรรมชาตินี้ขึ้นมาระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อยกเปลือกตา นั่นเองครับ ความแตกต่างของแต่ละเทคนิคอยู่ที่ “วิธีการ” เข้าไปสร้างการยึดเกาะดังกล่าวนั่นเอง


1. เทคนิคเย็บสามจุด (Suture Technique) หรือที่เรียกกันว่า “ไร้แผล”

เทคนิคทำตาสองชั้น นี้เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาน้อยมาก เพราะแทบจะไม่มีรอยแผลเป็นให้เห็นเลยครับ

  • วิธีการ: แพทย์จะทำการเจาะรูเล็กๆ บริเวณเปลือกตาประมาณ 3-5 จุด จากนั้นจะใช้ไหมชนิดพิเศษร้อยผ่านรูเหล่านี้ เพื่อเย็บและสร้างการยึดเกาะระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อตาจากด้านใน ทำให้เกิดเป็นชั้นตาขึ้นมาเมื่อลืมตา
  • เหมาะกับใคร?
    • ผู้ที่มีอายุน้อย เปลือกตาบาง ไม่มีไขมันส่วนเกิน
    • ไม่มีภาวะหนังตาตก หรือมีน้อยมาก
    • ต้องการชั้นตาที่ไม่ถาวรมาก หรือต้องการทดลองดูว่ามีตาสองชั้นแล้วจะเป็นอย่างไร
    • ต้องการเวลาพักฟื้นที่สั้นที่สุด บวมช้ำน้อยมาก
  • ข้อดี:
    • พักฟื้นเร็ว: บวมน้อยมาก บางครั้งแค่ 2-3 วันก็ดูเป็นธรรมชาติ
    • ไม่มีรอยกรีด: จึงไม่มีรอยแผลเป็นให้เห็นเมื่อหลับตา
    • แก้ไขง่าย: หากไม่พอใจในชั้นตา สามารถกลับไปแก้ไขโดยการเอาไหมออกได้
  • ข้อจำกัดที่ต้องรู้:
    • ความไม่ถาวร: เนื่องจากเป็นการใช้ไหมเย็บยึดไว้เท่านั้น จึงมีโอกาสที่ไหมจะคลายตัวหรือหลุดได้ ทำให้ชั้นตาจางลงหรือหายไปในระยะเวลา 2-5 ปี (ขึ้นอยู่กับบุคคล)
    • ไม่สามารถแก้ปัญหาซับซ้อนได้: เทคนิคนี้ไม่สามารถตัดหนังตาส่วนเกินหรือนำไขมันที่เปลือกตาออกได้เลย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาเยอะหรือตาอูม
    • ความเสี่ยงไหมโผล่: แม้จะพบน้อย แต่ก็มีความเสี่ยงที่ปมไหมอาจจะโผล่ออกมาได้ในอนาคต

มุมมองของ Oculoplastic Surgeon: เทคนิคนี้เปรียบเสมือน “การติดกระดุม” ครับ คือการสร้างจุดยึดเป็นจุดๆ แม้จะง่ายและรวดเร็ว แต่ความแข็งแรงและความทนทานอาจไม่เท่ากับการเย็บตะเข็บยาวๆ เหมาะสำหรับเคสที่พื้นฐานดีอยู่แล้วและต้องการการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


2. เทคนิคกรีดสั้น (Short Incision / Mini Incision)

เป็นเทคนิคที่อยู่กึ่งกลางระหว่างการเย็บสามจุดและการกรีดยาว โดยจะให้ผลลัพธ์ที่ถาวรกว่าการเย็บ แต่มีแผลที่เล็กกว่าการกรีดยาว

  • วิธีการ: แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร บริเวณกลางเปลือกตาตามแนวชั้นตาที่ออกแบบไว้ จากนั้นจะเข้าไปสร้างการยึดเกาะระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อ และที่สำคัญคือ สามารถนำไขมันส่วนเกินออกผ่านแผลเล็กๆ นี้ได้
  • เหมาะกับใคร?
    • ผู้ที่เปลือกตามีไขมันสะสมเยอะ ตาดูบวมหรืออูม แต่ไม่มีหนังตาหย่อนคล้อย
    • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ถาวรกว่าการเย็บสามจุด
    • กังวลเรื่องรอยแผลเป็น ต้องการให้แผลเล็กที่สุด
  • ข้อดี:
    • เอาไขมันออกได้: ช่วยแก้ปัญหาตาอูมได้อย่างตรงจุด
    • แผลเล็ก: รอยแผลจะสั้นและจางลงจนแทบมองไม่เห็นเมื่อเวลาผ่านไป
    • พักฟื้นไม่นาน: ระยะเวลาบวมช้ำจะนานกว่าแบบเย็บ แต่สั้นกว่าแบบกรีดยาว
  • ข้อจำกัดที่ต้องรู้:
    • ไม่สามารถตัดหนังตาส่วนเกินได้: เนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก จึงไม่สามารถตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยออกได้ ทำให้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนที่มีหนังตาตก
    • การยึดเกาะอาจไม่ตลอดแนว: ชั้นตาที่ได้อาจดูเป็นธรรมชาติ แต่ในบางรายอาจมีความเสี่ยงที่หัวตาหรือหางตาจะหลุดได้ง่ายกว่าแบบกรีดยาว

มุมมองของ Oculoplastic Surgeon: เทคนิคกรีดสั้นเหมือนการ “เปิดหน้าต่างบานเล็ก” เพื่อเข้าไปจัดการปัญหาไขมันที่อยู่ด้านใน เหมาะสมมากสำหรับคนที่ปัญหาหลักคือ “ตาอูม” แต่โครงสร้างผิวหนังยังดีอยู่ การประเมินที่แม่นยำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากประเมินผิดและคนไข้มีหนังตาตกซ่อนอยู่ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่สวยงามเท่าที่ควร


3. เทคนิคกรีดยาว (Full Incision Technique)

ถือเป็นเทคนิคมาตรฐาน (Gold Standard) ที่สามารถจัดการกับปัญหาของเปลือกตาได้ครอบคลุมและหลากหลายที่สุด ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรและชัดเจน

  • วิธีการ: แพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลตามแนวยาวของชั้นตาที่ได้ออกแบบไว้ ตั้งแต่บริเวณหัวตาไปจนเกือบถึงหางตา ซึ่งความยาวของแผลจะขึ้นอยู่กับลักษณะดวงตาของแต่ละบุคคล การเปิดแผลยาวทำให้แพทย์สามารถเข้าไปจัดการกับโครงสร้างภายในได้อย่างเต็มที่
  • เหมาะกับใคร?
    • ผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาซับซ้อน เช่น หนังตาตกไขมันเปลือกตาเยอะเบ้าตาลึก
    • ผู้ที่มีภาวะ “กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis)” ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องมีการผ่าตัดเพื่อปรับระดับการยกของเปลือกตา
    • เคสแก้ไขที่เคยทำตามาก่อนแล้วมีปัญหา
    • ผู้ที่ต้องการชั้นตาที่คมชัด สวยงาม และผลลัพธ์ถาวรที่สุด
  • ข้อดี:
    • แก้ไขปัญหาได้ทุกรูปแบบ: สามารถตัดทั้งหนังตาส่วนเกินและไขมันส่วนเกินออกได้อย่างแม่นยำ
    • รักษาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้: เป็นเทคนิคเดียวที่สามารถเข้าไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อยกเปลือกตาได้โดยตรง
    • ออกแบบชั้นตาได้หลากหลาย: สามารถสร้างชั้นตาให้คมชัดและมีความโค้งตามที่ต้องการได้อย่างอิสระ
    • ผลลัพธ์ถาวร: เป็นเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์คงทนและถาวรที่สุด
  • ข้อจำกัดที่ต้องรู้:
    • ระยะเวลาพักฟื้นนานที่สุด: เนื่องจากมีการผ่าตัดที่มากกว่าเทคนิคอื่น จึงมีอาการบวมช้ำนานกว่า โดยจะค่อยๆ ยุบลงและเข้าที่ในเวลา 3-6 เดือน
    • มีรอยแผลยาว: แม้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปแผลจะจางลงจนกลายเป็นเส้นบางๆ ที่ซ่อนอยู่ในชั้นตา แต่ในช่วงแรกอาจจะยังมองเห็นได้ชัด

มุมมองของ Oculoplastic Surgeon: เทคนิคกรีดยาวคือ “ที่สุดของการออกแบบ” ครับ เปรียบได้กับการเปิดฝากระโปรงรถเพื่อเข้าไปปรับจูนเครื่องยนต์ทุกส่วนได้อย่างเต็มที่ สำหรับจักษุแพทย์ตกแต่งแล้ว เทคนิคนี้คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างสรรค์ดวงตาที่สวยงามควบคู่ไปกับการทำงานที่เป็นปกติ (Function) เราไม่ได้มองแค่การสร้างชั้นตา แต่เราประเมินไปถึงระดับการลืมตา ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และปริมาณหนังตาที่ควรเอาออกเพื่อไม่ให้เกิดภาวะหลับตาไม่สนิทในระยะยาว


ตารางเปรียบเทียบเทคนิคทำตาสองชั้น

คุณสมบัติเทคนิคเย็บ (ไร้แผล)เทคนิคกรีดสั้นเทคนิคกรีดยาว
ลักษณะแผลเป็นจุดเล็กๆแผลสั้น 1-1.5 ซม.แผลยาวตลอดแนวชั้นตา
เอาไขมันออก❌ ไม่ได้✅ ได้✅ ได้
ตัดหนังตาส่วนเกิน❌ ไม่ได้❌ ไม่ได้✅ ได้
แก้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง❌ ไม่ได้❌ ไม่ได้✅ ได้
ความถาวรdüşük (2-5 ปี)สูงสูงมาก (ถาวร)
เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด (2-3 วัน)ปานกลาง (5-7 วัน)นานที่สุด (7-14 วัน)
เหมาะกับวัยรุ่น, ตาไม่มีไขมัน, หนังตาไม่ตกตาอูม, มีไขมันเยอะ, หนังตาไม่ตกปัญหาซับซ้อน, หนังตาตก, เคสแก้

Export to Sheets


สรุป: แล้วเทคนิคไหนที่ใช่สำหรับคุณ?

การจะเลือกเทคนิคไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “ปัญหาและโครงสร้างดวงตา”ของเราเป็นหลัก ไม่มีเทคนิคใดที่ดีที่สุด มีแต่เทคนิคที่ “เหมาะสมที่สุด” สำหรับแต่ละบุคคลครับ

  • หากคุณ อายุน้อย, เปลือกตาบาง, ไม่มีไขมันและหนังตาตก และต้องการพักฟื้นไว -> เทคนิคเย็บสามจุด อาจเป็นคำตอบ
  • หากคุณ ตาบวมอูมจากไขมัน แต่หนังตายังไม่หย่อนคล้อย -> เทคนิคกรีดสั้น คือตัวเลือกที่น่าสนใจ
  • หากคุณมี หนังตาตก, ไขมันเยอะ, ตาสองข้างไม่เท่ากัน, กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือต้องการผลลัพธ์ที่ถาวรและชัดเจนที่สุด -> เทคนิคกรีดยาว คือคำตอบที่ครอบคลุมและดีที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง โดยเฉพาะ Oculoplastic Surgeon ที่มีความเข้าใจในโครงสร้างรอบดวงตาทุกชั้นอย่างลึกซึ้ง จะสามารถประเมินปัญหาของคุณได้อย่างแม่นยำและแนะนำเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังต้องปลอดภัยและดีต่อสุขภาพดวงตาของคุณในระยะยาว

ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ การลงทุนเพื่อดวงตาที่สวยงามและปลอดภัยจึงควรค่าแก่การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดครับ

สนใจปรึกษาปัญหาและประเมินโครงสร้างรอบดวงตา สามารถนัดหมายเพื่อพูดคุยกับ นพ.วรฤทธิ์ จินารัตน์ ได้โดยตรงที่ Line official : @drartvorarit

รีวิวเพิ่มเติมได้ที่ https://www.drartvorarit.com/before-and-after-surgery/

Picture of นพ. วรฤทธิ์ จินารัตน์

นพ. วรฤทธิ์ จินารัตน์

จักษุแพทย์เฉพาะทาง อนุสาขาศัลยกรรมจักษุตกแต่งและเสริมสร้าง (Oculoplastic and Reconstructive surgery)

แชร์บทความ

บทความล่าสุด