บทนำ
น้ำตาไม่ใช่เพียงน้ำใส ๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาเมื่อเรารู้สึกเศร้าหรือหัวเราะ แต่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นและปกป้องดวงตาจากเชื้อโรค เมื่อระบบการไหลเวียนของน้ำตาทำงานปกติ น้ำตาจะถูกผลิตจากต่อมน้ำตาที่บริเวณหางตา และ กระจายบนผิวตา ระบายผ่านท่อน้ำตาลงสู่โพรงจมูก
แต่หาก ท่อน้ำตาเกิดการอุดตัน น้ำตาจะไม่สามารถไหลลงไปตามปกติ ส่งผลให้น้ำตาค้างอยู่ที่ตา ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำตาไหลเรื้อรัง ตาแดง ระคายเคือง หรืออาจติดเชื้อเป็น ๆ หาย ๆ ได้
ภาวะนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีความแตกต่างกันในด้านสาเหตุและวิธีรักษา
กายวิภาคของระบบทางเดินน้ำตา
เพื่อทำความเข้าใจโรคนี้ เราจำเป็นต้องรู้จักโครงสร้างของ ระบบทางเดินน้ำตา (lacrimal drainage system)
- ต่อมน้ำตา (Lacrimal gland): ผลิตน้ำตาออกมาเคลือบผิวตา
- รูเปิดท่อน้ำตา (Puncta): อยู่ที่หัวตาบนและล่าง ทำหน้าที่รับน้ำตาเข้าสู่ท่อ
- ท่อน้ำตา Canaliculi: เป็นท่อเล็กที่เชื่อมรูเปิดท่อน้ำตาเข้าสู่ถุงน้ำตา
- ถุงน้ำตา (Lacrimal sac): ที่พักน้ำตาอยู่บริเวณหัวตาก่อนไหลลงจมูก
- ท่อน้ำตา (Nasolacrimal duct): ท่อที่นำพาน้ำตาจากถุงน้ำตาลงสู่โพรงจมูก
เมื่อใดก็ตามที่มีการอุดตันในระบบนี้ โดยเฉพาะที่ nasolacrimal duct จะก่อให้เกิดภาวะท่อน้ำตาอุดตัน
อาการของท่อน้ำตาอุดตัน
ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้มักมีอาการดังต่อไปนี้
- น้ำตาไหลมากผิดปกติ (Epiphora): น้ำตาเอ่อจนล้นออกเป็นหยด มาที่หางตาและแก้ม
- ตาแดง ระคายเคือง: เพราะมีน้ำค้างอยู่ตลอดเวลา
- มีขี้ตาเหนียว หรือหนอง: บ่งบอกถึงการติดเชื้อ
- มีก้อนนูนบริเวณหัวตา: โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื้อรังอาจคลำได้ถุงน้ำตาที่บวม
- ติดเชื้อที่บริเวณถุงน้ำตา: เกิดภาวะถุงน้ำตาอักเสบ (dacryocystitis)
สาเหตุของท่อน้ำตาอุดตัน
1. ในทารกแรกเกิด
- เกิดจาก พังผืดบาง ๆ ที่บริเวณ Hasner’s valve ปิดกั้นส่วนปลายของท่อน้ำตา
- พบราว 5–10% ของทารกแรกเกิด
- ส่วนใหญ่จะหายเองภายใน 1 ปี
2. ในผู้ใหญ่
- การอักเสบเรื้อรัง ของท่อน้ำตา
- การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ บริเวณจมูกหรือใบหน้า
- ภาวะโพรงจมูกผิดปกติ เช่น เนื้องอก หรือกระดูกจมูกเบี้ยว
- อายุที่มากขึ้น: ทำให้ท่อน้ำตาเสื่อมและตีบตัน
- หลังผ่าตัดหรือฉายรังสีบริเวณใบหน้า
การวินิจฉัยโรคท่อน้ำตาอุดตัน
จักษุแพทย์หรือจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านออคูลอพลาสติกจะทำการตรวจด้วยวิธีดังนี้
- การซักประวัติ: สอบถามอาการน้ำตาไหลเรื้อรัง ติดเชื้อซ้ำ
- การตรวจร่างกาย: กดถุงน้ำตาเพื่อดูว่ามีหนองหรือน้ำตาไหลย้อนออกมาหรือไม่
- การทดสอบ Syringing & Probing: ฉีดน้ำเกลือผ่านรูเปิดท่อน้ำตาเพื่อดูว่ามีการไหลลงจมูกหรือไม่
- Dye disappearance test (DDT): หยอดสี fluorescein แล้วสังเกตการหายไปของสี
- การตรวจภาพถ่าย (Dacryocystography หรือ Dacryoscintigraphy): ใช้ในบางกรณีซับซ้อน
- CT Scan / MRI: ถ้ามีข้อสงสัยเนื้องอกหรือความผิดปกติของกระดูก
การรักษาท่อน้ำตาอุดตัน
1. ในทารกแรกเกิด

- การนวดถุงน้ำตา (Crigler massage): ใช้นิ้วกดลงบริเวณหัวตาเพื่อให้แรงดันช่วยเปิดพังผืด
- หยอดยาปฏิชีวนะ: ถ้ามีขี้ตาเยอะหรือติดเชื้อ
- การขยายท่อน้ำตา (Probing): ทำเมื่ออายุเกิน 12 เดือนแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
2. ในผู้ใหญ่
การรักษาขึ้นอยู่กับตำแหน่งและระดับของการอุดตัน
a. การใส่ท่อซิลิโคน (Silicone intubation)
- ใช้ในกรณีที่ท่อน้ำตาแคบหรือตีบ
- แพทย์จะใส่ท่อเล็ก ๆ ผ่านรูเปิดเพื่อค้ำให้ท่อเปิด
- ท่อจะอยู่ประมาณ 3–6 เดือน
b. การผ่าตัดสร้างทางเดินน้ำตาใหม่ (Dacryocystorhinostomy: DCR)
- Gold standard สำหรับผู้ใหญ่ที่ท่อน้ำตาอุดตันถาวร
- ทำโดยเจาะทางใหม่ระหว่างถุงน้ำตากับโพรงจมูก
- มีทั้งแบบ
- External DCR: แผลเล็กบริเวณหัวตา
- Endoscopic DCR: ใช้กล้องส่องผ่านโพรงจมูก ไม่มีแผลภายนอก
- อัตราความสำเร็จสูงมากกว่า 90%
c. การรักษาภาวะแทรกซ้อน
- ถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน (Acute dacryocystitis): ต้องให้ยาปฏิชีวนะและต้องผ่าตัดระบายหนอง
- การติดเชื้อซ้ำ: ต้องรักษาสาเหตุของการอุดตันร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของท่อน้ำตาอุดตัน
หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ได้แก่
- การติดเชื้อเรื้อรังของถุงน้ำตา
- ก้อนถุงน้ำตาโป่งพอง (mucocele)
- ติดเชื้อกระจายเข้าสู่เบ้าตาหรือโพรงสมอง (พบได้น้อยแต่รุนแรง)
- คุณภาพชีวิตแย่ลง จากน้ำตาที่ไหลตลอดเวลา
ชีวิตประจำวันและการป้องกัน
- รักษาความสะอาดรอบดวงตา: ลดการติดเชื้อ
- รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการ: โดยเฉพาะถ้ามีตาแดง บวม หรือเจ็บหัวตา
- ดูแลสุขภาพโพรงจมูก: รักษาโรคไซนัสอักเสบหรือจมูกอักเสบเรื้อรัง
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บบริเวณจมูกและเบ้าตา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ท่อน้ำตาอุดตันหายเองได้ไหม?
A: ในเด็กส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ภายใน 1 ปี แต่ในผู้ใหญ่จำเป็นต้องรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด
Q: ผ่าตัด DCR เจ็บไหม?
A: ปัจจุบันทำภายใต้ยาสลบ ผู้ป่วยเจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว
Q: หลังผ่าตัดต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
A: ส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว และใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติใน 1–2 สัปดาห์
Q: ถ้ามีน้ำตาไหลตลอดเวลา ควรทำอย่างไร?
A: ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เพราะไม่ใช่ทุกกรณีที่เกิดจากท่อน้ำตาอุดตัน
สรุป
ภาวะ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นปัญหาที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุแตกต่างกันไป ตั้งแต่พังผืดที่ยังไม่เปิดในทารก ไปจนถึงการอักเสบหรือเสื่อมตามอายุในผู้ใหญ่
การรักษามีตั้งแต่วิธีง่าย ๆ เช่นการนวดท่อน้ำตาในเด็ก ไปจนถึงการผ่าตัดสร้างทางใหม่ (DCR) ในผู้ใหญ่ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การติดเชื้อเรื้อรังและคุณภาพชีวิตที่แย่ลง
ดังนั้น หากมีอาการน้ำตาไหลเรื้อรังหรือมีการติดเชื้อซ้ำ ควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง